เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓ พ.ย. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ เห็นไหม วันโกน วันพระ พุทธศาสนาให้วันโกน วันพระ เป็นวันแสวงหาความสุขภายใน เราแสวงหาความสุขจากภายนอก เพราะเราเกิดมา เกิดเป็นมนุษย์พบพุทธศาสนา พุทธศาสนาสอนถึงศาสนธรรม สัจธรรมความจริงนะ นี่ความจริงคือความจริง แต่เราอยู่กับความเป็นสมมุติ โลกเป็นสมมุติ แต่เราต้องอยู่กับความจริง ความจริงนะ ความจริงโดยจริงโดยสมมุติ แต่ความจริงโดยสมมุติเราก็ต้องแสวงหา

คำว่าแสวงหา เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ สิ่งที่แสวงหา ที่กระทำนั้นมันก็เป็นเรื่องโลกๆ นี่แหละ แต่จิตใจที่เป็นประธาน จิตใจที่เป็นทาน ทำคุณงามความดี สิ่งที่เป็นคุณงามความดีนี้ตกอยู่ที่ใจ จริตนิสัย ทำบ่อยครั้งเข้า ทำจนชำนาญเข้า จนเป็นจริต จนเป็นนิสัย

คนดี คิดดี ทำดี ทำชั่วยาก คนชั่ว คิดชั่ว ทำความดียาก เห็นไหม คนชั่ว คิดชั่ว มันขัดแย้งกับความรู้สึกนึกคิดจากภายใน ถ้าความรู้สึกนึกคิดจากภายใน สิ่งใดไปขัดแย้งสิ่งนั้นมันไม่ยอมรับ สิ่งใดที่มันคิดแล้วมันตรงกับความรู้สึกจากภายใน

ฉะนั้น จริตนิสัยอันนี้ มันถึงว่าเราต้องพยายามดัดแปลงของเรา ถ้าดัดแปลงของเรา โลกอยู่กันนี่ เวลาเราเผชิญความทุกข์ความยาก สิ่งนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ ถ้าคำว่าดัดแปลงมันต้องมีความเข้มแข็ง ถ้ามันไม่มีความเข้มแข็งมันจะดัดแปลงได้อย่างไร? เวลาเผชิญสิ่งใดที่กระทบกระเทือนมันก็ไหลไปกับเขาแล้ว ถ้าสิ่งใดกระทบกระเทือนนะเรามีสติปัญญาของเรา เรามีจุดยืนของเรา เห็นไหม มันกัดฟันทนไง ถ้ากัดฟันทนทำสิ่งนั้นไป มันจะผ่านวิกฤติอย่างนั้นไปเป็นครั้งเป็นคราว เป็นครั้งเป็นคราว

เขาว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ทุกคนว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ดูสิน้ำนี่ ระดับของน้ำมันเป็นสัจจะ มันเป็นความจริงของมัน น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ ในการก่อสร้าง ดูระดับน้ำ เห็นไหม เวลาดูระดับน้ำทะเล ความสูงของระดับน้ำทะเลต่างๆ สิ่งนี้เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นมาตรฐาน ความเป็นมาตรฐานของมัน แต่คนที่บริหารจัดการ เอามาใช้เป็นประโยชน์มันเป็นประโยชน์

นี่ถ้าเป็นทุ่งนา เป็นไร่ เป็นสวน เขาต้องการน้ำเพื่อการเกษตรกรรมของเขา สิ่งที่เขาทำธุรกิจบางอย่างเขาต้องใช้น้ำของเขาเหมือนกัน แต่คนที่เขาไม่ต้องการใช้ สิ่งนั้นเอาไปมันไม่เป็นประโยชน์กับเขา สิ่งนั้นไม่เป็นประโยชน์กับเขา แล้วมันไปทำความเสียหายกับเขาด้วย ความเสียหายอย่างนั้นมันก็อยู่ที่การบริหารจัดการ ทีนี้คำว่าบริหารจัดการมันเป็นเรื่องโลกๆ เห็นไหม คำว่าบริหารจัดการ บริหารจัดการ แล้วเวลาเราประพฤติปฏิบัติกัน เราจะบริหารจัดการหัวใจเราอย่างไร?

ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือความปกติของใจ แล้วปกติของใครล่ะ? ศีล อธิศีล เวลาศีล เห็นไหม ดูสิคนถือศีลนี่เกร็งกันไปหมดเลยนะ พอถือศีล ๕ ทำนู่นก็ไม่ได้ ทำนี่ก็ไม่ได้ พอถือศีล ๕ มันจะผิดพลาดไปหมด ความถือศีล ๕ มันไม่มีเจตนา ไม่มีเจตนามันเรื่องของกรรมนะ ดูสิเวลาอุบัติเหตุ เรามีอุบัติเหตุ เราชนเขาก็ได้ เขามาชนเราก็ได้ ทำไมเราเดินอยู่เฉยๆ ทำไมรถมันชนเราล่ะ?

นี่เราเดินอยู่บนถนนหนทาง เราไม่ได้ทำสิ่งใดด้วยความประมาทพลาดพลั้งเลย ทำไมสิ่งนั้นมาตอบสนองเราล่ะ? ถ้ามันตอบสนองเรา สิ่งนั้น เห็นไหม นี่คำว่ากรรมๆ ใครบริหารจัดการล่ะ? ถ้าใครบริหารจัดการ สิ่งนั้นสิ่งที่มันเกิดขึ้นเพราะอะไร? เพราะมีการกระทำมา ต้องมีเหตุมีผล ไม่มีสิ่งใดลอยมาจากฟ้า ไม่มีสิ่งใดที่มันเกิดขึ้นมาโดยไม่มีเหตุมีผล มันมีเหตุมีผลของมัน แต่! แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า

“สิ่งนี้เป็นอจินไตย ๔”

พุทธวิสัย นี่ความรู้ความสามารถขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเราคาดไม่ถึง คาดไม่ได้ พุทธวิสัยเรื่องโลก เรื่องความเป็นไปของโลกที่เขาพยายามจะเป็นของโลก แล้วนี่สิ่งที่จะเป็นไปได้คือการพิสูจน์สิ่งที่ผ่านมาแล้ว เห็นไหม โลกเกิดมากี่พันล้านปี กี่ล้านปี

นี่ความที่มันพัฒนาการเป็นยุคเป็นสมัยมา เป็นสมัยมาแล้วมันยังมีต่อไป มีต่อไปเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ อนาคตวงศ์อีก ๑๐ องค์ข้างหน้านะ เราบอกพระศรีอริยเมตไตรย พระศรีอริยเมตไตรย ยังมีอีก ๑๐ องค์ข้างหน้า ยังมีต่อไปเรื่อยๆ เพราะมันไม่มีวันจบสิ้น

นี่เรื่องของโลก เรื่องของฌาน เรื่องของกรรม นี่เรื่องของกรรม เพราะกรรม เห็นไหม ดูสิ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ๑๖ อสงไขยนี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมาขนาดไหน? แล้วเราจะสืบเสาะไปถึงไหนว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเริ่มต้นมาจากไหน? แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเริ่มต้นมาได้ ทุกคนต้องถามว่า

“โลกนี้เกิดมาได้อย่างไร? จิตนี้เกิดมาจากไหน? มนุษย์นี้เกิดมาอย่างไร?”

มนุษย์นี้เกิดมาจากกรรม เกิดมาจากการกระทำ เกิดมาจากปฏิสนธิจิต จิตมันเกิดปฏิสนธิจิต นี่ไงดูจิตมันเกิดในวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ นี่เกิดในวัฏฏะ แล้ววัฏฏะมาจากไหน? นี่ดูสิวัฏฏะ วิทยาศาสตร์พิสูจน์กันไป มันพิสูจน์ได้ถ้าพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ แต่มันไม่จบสิ้น มันไม่จบสิ้นหรอก ถึงมันจบสิ้นนะมันจะเปลี่ยนแปลงของมันไป มันจะปรับสภาพของมันไป

ถ้าปรับสภาพของมันเป็นยุคเป็นคราวนะ ถ้าเป็นยุคเป็นคราวนั่นเรื่องของโลก แต่ถ้าเราย้อนกลับมาเรื่องหัวใจของเรา นี่สิ่งโลกๆ เราใช้ปัญญา ปัญญาของโลก เห็นไหม ดูสิเวลาเราพิจารณากายๆ เราสู้หมอไม่ได้หรอก หมอมีความชำนาญในเรื่องของร่างกาย ในเรื่องของหัวใจ เรื่องของสมอง เรื่องของต่างๆ หมอเขามีความชำนาญมากกว่านะ เขาอธิบายได้หมดเลยว่าอวัยวะต่างๆ มันมีอายุมันเท่าไหร่? มันทำงานเท่าไหร่? มันเสื่อมสภาพอย่างไร?

ดูสิมาตรฐานมันเป็นอย่างใด? นี่เขาเข้าใจของเขาได้ เขารู้ของเขาได้ แต่รู้ได้มันรู้ทางวิชาการ เห็นไหม นี่ทางวิชาการ คำว่าโลกไง โลกคือวิทยาศาสตร์ โลกคือสิ่งที่พิสูจน์กันทางวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าเป็นธรรมล่ะ? ธรรมพิสูจน์กันด้วยธรรมนะ ด้วยธรรม เห็นไหม ด้วยจริต ด้วยนิสัย ใครติดข้องสิ่งใด สิ่งนั้นเวลาพิจารณาของมันไปแล้ว เวลามันเป็นไตรลักษณ์ ถ้าเป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันเป็นปัญญา มันใช้ปัญญา

ปัญญาเวลาพิจารณาไปมันมีสัมมาสมาธิไปรองรับ มันพิจารณาเข้าไปแล้วมันเห็นโทษของมัน มันปล่อยของมัน มันปล่อยของมัน แต่พิจารณากาย เวลากายมันเห็นกายนะ จิตมันเห็นความเป็นไตรลักษณ์ของมัน เวลามันคลายตัวของมัน เห็นไหม เวลามันคลายตัวของมัน แล้วให้เขียนออกมาเป็นวิทยาศาสตร์สิ

เวลาพิจารณากายนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพุทธวิสัย นี่ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคาดหมายไม่ได้เลย แต่เวลาบอกอริยสัจ สัจจะความจริง เห็นไหม กาย เวทนา จิต ธรรม แล้วกายของใคร? นี่กายนอก กายใน กายในกาย ในกายก็มีหยาบ มีกลาง มีละเอียด นี่กายนอก กายในก็มีหยาบ มีกลาง มีละเอียด แล้วเวลากายในกายล่ะ? แล้วกายมันเป็นอย่างไร?

นี่พิจารณากายๆ แต่ถ้าเราคิดทางวิทยาศาสตร์ เห็นไหม นี่เราทำเป็นสูตรสำเร็จ เพราะเราใช้ปัญญาของเราว่าพิจารณากายๆ ตอนนี้เราก็ตั้งกายกันขึ้นมา แล้วถ้าพิจารณาโดยปัญญานี่สู้หมอไม่ได้ หมอเขาแยกแยะได้ ดูสิเวลาหลวงตาท่านพูดนะ เวลาท่านลงใจกับใคร ท่านบอกท่านไปหาหมอ ยกให้หมอเลย

เวลาเราไปหาหมอ หมอสั่งให้ทำอย่างไรเราต้องทำอย่างนั้น เพราะเราไปหาเขา แต่ถ้าเราไม่ได้ทำตามเขา เราก็อยู่วัดของเรา เราพิจารณาของเรา เราใช้ธรรมโอสถ เวลาธรรมโอสถนะ เวลามันเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เห็นไหม เวลาจิตพิจารณาของมันแล้วมันปล่อย โรคภัยไข้เจ็บนั้นก็หายได้เหมือนกัน

เวลามันหายได้ มันหายด้วยธรรม เห็นไหม หายด้วยธรรม แต่คนที่ธรรมโอสถต้องมีจิตใจเข้มแข็ง ต้องมีจุดยืนของตัว ถ้าใจไม่เข้มแข็งนะอย่าทำ เพราะยิ่งทำขึ้นไปนะ นี่เวลาไปหาหมอ หมอเขาจะถามเลย เป็นตั้งแต่เมื่อไหร่? ทำไมปล่อยไว้ขนาดนี้? ทำไมไม่หาหมอตั้งแต่ต้น เวลามันลุกลามแล้วมาหาหมอ หมอจะแก้ไขอย่างใด?

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าจิตใจเราทำเข้มแข็งขึ้นมาจริง เราพิจารณาโดยธรรมโอสถ สู้ไปแล้วต้องเต็มที่เลย พอเต็มไปเลย นี่พิจารณาไปเลย พิจารณากายไป เวลามันปล่อยขึ้นมาแล้ว เห็นไหม มันจะเจ็บไข้ได้ป่วยขนาดไหน มันปล่อยได้ มันหายได้ ความหายได้ นี่ไงเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยของคน เห็นไหม คนเจ็บไข้ได้ป่วยเพราะกรรม เพราะความเสื่อมสภาพของร่างกาย เพราะอุปาทาน นี่เขารู้ของเขา โดยหลักวิทยาศาสตร์ ดูสิไม่เจ็บไข้ได้ป่วย นี่คิดๆๆๆ อุปาทานจนป่วยได้นะ จนมันเป็นไปเหมือนกัน

นี่เวลามันเป็นไป เห็นไหม ธรรมโอสถก็เหมือนกัน ธรรมโอสถ ถ้าจิตใจมันเสื่อมสภาพ ธรรมโอสถมันจะแก้ไขอย่างไร? ถ้ามันแก้ไขนะ พอจิตใจมันดีขึ้นมา จิตใจมันดีขึ้น ทุกอย่างมันปล่อยขึ้นมานะ ด้วยอำนาจของจิต อำนาจของสมาธิ อำนาจของปัญญา ที่มันพิจารณาของมัน มันฟื้นฟูขึ้นมาได้ มันฟื้นฟูขึ้นมาได้เพราะอะไร? ดูสิดูโรคเครียด พอเราเครียดขึ้นมา เราวิตกกังวล เป็นไปหมด เป็นไปหมดเลย

นี่เวลามันชราภาพ มันก็ชราภาพเป็นธรรมชาติของมัน มันเป็นไปตามกาลของมัน ถ้าจิตใจ เห็นไหม หลวงตาสอนประจำ

“เวลาป่วยให้ป่วยคนเดียวนะ”

เวลาเราป่วยนี่เราป่วยกัน ๒ คน กายก็ป่วย ใจก็ป่วย เวลากายมันจะป่วยมันก็เป็นธรรมดาของมัน ถ้าจิตใจมันไม่ป่วยไปด้วย มันก็รักษาของมัน มันก็ฟื้นฟูของมัน ไอ้นี่พอกายมันป่วย ใจมันก็กระโดดไปข้างหน้านู่นน่ะ มันชักให้ป่วยไปก่อน มันตามไปหมดเลย ถ้าเรามีสติปัญญามันป่วยคนเดียว แล้วจิตใจดูแลรักษามัน จิตใจดูแลรักษา เห็นไหม ดูสิเวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยไปโรงพยาบาล หน้าที่การรักษาก็เรื่องของหมอ เราให้ความร่วมมือกับหมอ หมอรักษาดีกว่าเรา เราก็ดูแลใจของเรา

นี้พูดถึงว่าเวลามันใช้พิจารณากายๆ นะ ถ้าเรามีปัญญาของเรา นี่สิ่งที่มันเป็นไป เห็นไหม ระดับน้ำของมัน นี่เวลามันให้ผล มันให้โทษนะ ผู้ดีมีจนขนาดไหนเสมอภาคกัน แต่ถ้ามีการบริหารจัดการขึ้นมา มันพอแก้ไขให้หนักเป็นเบาได้ แต่ถ้ามันไม่มีการแก้ไข เราปล่อยนะ นี่เขื่อนพังเพราะตามด ของเล็กน้อยๆ คำว่าเล็กน้อยนี่เราปล่อยปละละเลย ถ้าของเล็กน้อยเราปล่อยปละละเลย มันก็ขยายกว้างไปเรื่อยๆ พอกว้างไปเรื่อยๆ เราจะไปแก้ไขสิ่งใด?

เวลาเราทำบุญกุศล เห็นไหม ทาน ศีล ภาวนา.. ศีลคือความปกติของใจ เราบอกมันไม่มีค่า ไม่มีค่า มหายานบอกเลยนะ ทานก็ไม่มีผล ศีลก็ไม่มีผล ภาวนาไปเลย ภาวนาไปเลย ภาวนาไปก็หัวทิ่มไง เพราะมันไม่มีพื้นฐานขึ้นมา แต่เถรวาทเราต้องมีทาน การเสียสละให้จิตใจเราฝึกกันมา จนนี่ใครๆ ก็ชม เวลาเกิดวิกฤติขึ้นมาเราจะช่วยเหลือเจือจานกัน สิ่งที่เขาไม่ช่วยเหลือเจือจานกัน เพราะเขาไม่ไว้ใจ ถ้าที่ไหนเขาไว้ใจ เขาลงใจได้นะ ทุ่มได้ทั้งตัวเลย เขาทุ่มกันเต็มที่

การที่ไม่ทำมา เห็นไหม โดยปกติถ้าไม่มีเหตุการณ์ขึ้นมา ใครๆ ก็ไว้ใจใครไม่ได้ พอไว้ใจไม่ได้มันก็ละล้าละลังกันไปหมดเลย เวลาสิ่งที่ไว้ใจผู้ทรงศีล ผู้ทรงศีลจะไม่พูดปดมดเท็จ ก็ไปทำบุญกับพระ ทำบุญกับผู้มีศีล แล้วผู้มีศีล เห็นไหม ศีล อธิศีล ถ้าศีลนี่เรารู้ได้อย่างไร? นี่ผู้ที่มีศีลนะ จะเข้าที่ไหน เหมือนฝ่ามือนะ มันไม่มีแผลมันทำสิ่งใดก็ได้ ถ้าฝ่ามือมันมีแผล มันทำสิ่งใดมันละล้าละลังไปหมด

ฉะนั้น คำว่าถ้าลงใจ ถ้าลงใจมันทำได้หมด เห็นไหม นี่เราฝึกของเรา เราเสียสละทานขึ้นมาเพราะเหตุนี้ เหตุที่ว่าเราเสียสละทานขึ้นมา สิ่งที่เสียสละนี้เป็นวัตถุ สิ่งที่ได้มาคือจิตใจที่มันเปิดกว้าง พอจิตใจเปิดกว้างขึ้นมา ถ้าเราจะภาวนาของเรานี่มันจะยอมฟังนะ ถ้าจิตใจที่คับแคบ นี่ว่าของฉันถูก ของฉันถูก ของฉันดี ของฉันเด่น ของคนอื่นผิดไปหมดเลย แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาวางไว้กรรมฐาน ๔๐ ห้อง ความสงบของใจมันเปิดได้ทั้งนั้นแหละ

จริตนิสัย คนอยู่บนดอย คนอยู่ริมทะเล ความดำรงชีวิตของเขาแตกต่างกัน คนอยู่บนดอยเขาดำรงชีวิตของเขาอย่างไร? แล้วคนอยู่ชายทะเลเขาดำรงชีวิตของเขาอย่างไร? จิตใจที่มันเคยฝึกของมันมา ถ้าคนมันอยู่บนดอยนะ การดำรงชีวิตบนดอย ถ้าการดำรงชีวิตของเขา เขาทำความสมดุลของเขา เขาก็มีความสุขของเขา คนอยู่ริมทะเลนะ ถ้าเอ็งไม่ออกเรือ เอ็งไม่หาปลา เอ็งก็ไม่มีจะกินหรอก

นี่ก็เหมือนกัน จิตใจที่มันโทสจริต โมหจริต เวลาทำขึ้นมามันไม่มีสูตรอะไรตายตัวหรอก นี่คำว่าดอยกับที่พื้นราบ เพราะคำว่าพื้นราบ เวลาคนอยู่บนพื้นราบเขาเคยชินของเขา คนบนดอยมาลงพื้นราบเขาอึดอัดเพราะอากาศมันแตกต่างกัน ถ้าอากาศบนดอยเขาก็อยู่ของเขาได้

จิตใจของเรา เห็นไหม ถ้าเราภาวนาพุทโธ ถ้าจิตใจมันสะดวก จิตใจมันสบาย ถ้ามันไม่ได้เราก็หาทางออกของเรา นี่มรณานุสติคิดถึงความตาย นี่ต้องตายๆๆ เพราะคิดถึงตายให้มันหดสั้นเข้ามา คิดถึงครูบาอาจารย์ก็ได้ คิดถึงต่างๆ มันต้องพลิกแพลงของมัน ถ้าพลิกแพลงของมัน นี่ไงสิ่งต่างๆ คำว่าความเสมอภาคๆ นี่สิ่งที่เสมอภาค แต่ของเล็กน้อยที่เราไม่ดูแลกัน ของเล็กน้อยนี้มันทำให้สิ่งที่เป็นประโยชน์ข้างหน้าเสียหายหมดเลย

ถ้าไม่มีทาน ศีล ภาวนา เพราะทานกับศีลมันเป็นฐานรองรับ เห็นไหม ฐานรองรับไว้ ถ้ารองรับมีทาน มีศีลขึ้นมา มันก็เกิดภาวนาขึ้นมา นี้บอกทานก็ไม่มีผล ศีลก็ไม่มีผล ศีลไม่ต้องทำเลย นี่ใจเข้มแข็งทำสมาธิไปเลย ใจเข้มแข็งใช้ปัญญาไปเลย แล้วปัญญาใคร่ครวญแล้วมันจะสิ้นกิเลส เห็นไหม ธรรมะมันมีอยู่โดยดั้งเดิมของมัน ธรรมะอยู่ในมด อยู่ในปลวก ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม นี่แล้วคนไม่ต้องมีหรอก นี่ธรรมะไปอยู่ที่มด อยู่ที่ปลวกหมด คนก็คดโกงไป โกงใคร? โกงตัวเองไง

เวลาทำขึ้นมาก็ไม่ตั้งเวลาของตัว อะไรก็มี อะไรก็มีอยู่แล้วๆ มีอยู่แล้วมันต้องดีขึ้นมาสิ มีอยู่แล้วทำไมยังกลัวตาย มีอยู่แล้วทำไมยังลังเลสงสัย ถ้ามันมีอยู่แล้ว คำว่ามีอยู่แล้วมันมีแต่กิเลสไง มันต้องยับยั้งมันสิ ถ้ามีกิเลส เห็นไหม ไฟมันเผา มันเผาไปหมดนะ แต่ถ้าไฟเอามาหุงต้มแกงกินมันเป็นเรื่องหนึ่งนะ เพราะไฟมันมีอยู่แล้ว กิเลสมันมีในหัวใจอยู่แล้ว ถ้าปล่อยมันเผามันเผาหมดแหละ มันเผาทั้งคุณงามความดีของเรา เผาทุกอย่างหมดเลย ไม่ให้อะไรเก็บไว้เป็นผลงานของเราเลย

แต่ถ้าเรายับยั้งมัน เห็นไหม โลกก็คือโลก หน้าที่การงานก็คือหน้าที่การงาน แต่สิ่งที่เราจะทำขึ้นมานี่ปัญญาอย่างนี้มันหาที่ไหน? ดูสิการศึกษาเล่าเรียน จะเอาศาสตราจารย์ต่างๆ ทำผลงานมา เดี๋ยวกรรมการเขายกให้ กรรมการเขาตรวจสอบก็ผ่านหมดแหละ แต่ถ้าเราทำสมาธิ ทำปัญญาของเราขึ้นมา มันเข้าไปแก้ไขหัวใจของเรา กรรมการที่ไหนมันจะตรวจสอบของเรา นี่เวลาผลงานมันเกิดขึ้นมาจากใจ ใครเป็นคนตรวจสอบขึ้นมา

นี่หาขึ้นมาสิ นี่เราว่าเราเป็นคนดี เราเป็นคนมีปัญญา เราเป็นคนมีความสามารถ สามารถมันอยู่ที่ไหน? สามารถมันต้องแก้เกิดแก้ตายได้ เศรษฐีโลกนะ เวลาเขาเทียบเศรษฐีโลกมันเปลี่ยนแปลงทุกปีแหละ นี่ปีนั้นเศรษฐีโลกอันดับหนึ่งเป็นคนนั้น มันหมุนเวียนทั้งนั้นแหละ เพราะอะไรล่ะ? แล้วเศรษฐีโลกเราเอาอะไรไว้? เศรษฐีโลกมันพ้นจากเกิดจากตายไหม?

เศรษฐีโลกก็คือเศรษฐีโลกไง เศรษฐีโลกถ้ามันเป็นคนดีนะ เศรษฐีโลกเขาทำประโยชน์กับโลกได้ ถ้าเศรษฐีกับโลก เศรษฐีโลกมาจากอะไรล่ะ? มาจากมือใครยาวสาวได้สาวเอา มีการเอารัดเอาเปรียบ มันเป็นเศรษฐีโลกมาเพื่อทำไม? แต่ถ้าเราเป็นเศรษฐีธรรมล่ะ? เศรษฐีธรรมมันต้องไปแข่งขันกับใคร?

แข่งขันกับความสุข-ความทุกข์ในใจนี่แหละ แข่งขันกับความรู้สึกนึกคิดนี่แหละ ความรู้สึกนึกคิดเอามันไว้ในหัวใจเราได้นี่แหละ แล้วถ้ามันเกิดปัญญาขึ้นมา มันแก้ไขขึ้นมา เศรษฐีธรรมนี่สิ เศรษฐีธรรมเพราะอะไร? เพราะมันสร้างบุญกุศล เห็นไหม มันไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม ถ้ามันยังจะเกิดอยู่นะ

ถ้ามันเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์ก็ทุกข์ยากไปกับเขา ที่เกิดมาทุกข์ยากมันมาจากไหน? ก็มาจากทำมาทั้งนั้นแหละ สิ่งที่ทุกข์ที่ยากมันมาจากไหน? คนเหมือนคน ทำไมเขาไม่ทุกข์ไม่ยาก เราก็เหมือนเขาทำไมเราทุกข์เรายาก เห็นไหม เราทุกข์ เรายาก ทุกข์ยากๆ เกิดมามีความเสมอภาคกันด้วยความเป็นมนุษย์ ดูสิเวลาพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล ทุคตะเข็ญใจก็เป็นพระอรหันต์ เศรษฐีกฎุมพีก็เป็นพระอรหันต์ กษัตริย์ที่บวชมาก็เป็นพระอรหันต์ เวลามันสิ้นสุดแห่งทุกข์แล้วนี่มันมีค่าเท่ากัน

นี่ไงการเกิดเป็นมนุษย์มีค่าเท่ากันที่การเกิดเป็นมนุษย์ การเกิดนี้มีค่าที่สุด เห็นไหม แล้วบอกพิจารณากันไม่ให้เกิด ไม่ให้ตาย ไม่เกิด-ไม่ตายเพราะอะไร? การเกิดเป็นมนุษย์มีค่าที่สุด มีค่าเพราะให้มาปฏิบัติไง มีค่าที่สุดคือให้มันค้นคว้าไง มาค้นคว้า เพราะมันเป็นมนุษย์แล้วมันพูดกันรู้เรื่อง มันสื่อสารกัน มันเข้าใจกัน พอมันเข้าใจกัน แล้วมันมีทางออก มันมีพุทธศาสนา

ทำขึ้นมาสิ นี่ถ้าปัญญามันเกิดขึ้นมาที่นี่ เห็นไหม นี่ของเล็กน้อยทำให้ความเสียหายเป็นวงกว้าง ถ้าของเล็กน้อยเราดูแลรักษาของเรา นี่ทาน ศีล เขาบอกไม่ต้องทำ ไม่ต้องทำ แต่ก็จะทำน่ะจะทำไม? ทำแล้วได้ประโยชน์กับเรา ถ้าประโยชน์กับเรามันเกิดขึ้นมา เพราะทำแล้วมันได้ตอกย้ำนี่ไง

นี่ทาน ศีล ภาวนา เพราะทำทานมันถึงได้ฟังธรรม ธรรมนี้ธรรมของใคร? ธรรมของใครก็แล้วแต่ที่เราพูดออกมา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา ๕,๐๐๐ ปีนี้ ใครจะเก่งขนาดไหน มันก็อยู่ในบารมีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จำขี้ปากพระพุทธเจ้ามาทั้งนั้นแหละ

พระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าบัญญัติไว้แล้ว ศึกษาก็ศึกษามาจากพระไตรปิฎก นี่สาวก สาวกะ ถ้าไม่มีธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอามาจากไหน? นี่เวลาประพฤติปฏิบัติไป มันก็เร่ร่อนไป มันแฉลบออก มันออกนอกลู่นอกทางไปทั้งนั้นแหละ แต่ถ้ามันเข้ามาในทางแล้ว เห็นไหม เข้ามาในทาง ในสัจธรรมมีอันเดียว อริยสัจมีอันเดียว ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคญาณมันเข้ามา มรรคญาณมันเกิดจากไหน? มันทำขึ้นมา เห็นไหม

นี่เวลาทุกข์ เรารู้ว่าโลกมันทุกข์ เวลาทุกข์นะ ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง ฉะนั้น ถ้าเรามีธรรมในหัวใจของเรา ของเล็กของน้อย เราดูแล้วนี่ คนดี ทำความดีได้ง่าย คนชั่ว ทำความชั่วได้ง่าย เห็นไหม คนดี ทำดีได้ง่าย ทำชั่วได้ยาก ทำชั่วได้ยากด้วย ถ้าคนชั่ว คนชั่วทำชั่วได้ง่ายๆ แต่ทำความดีได้ยาก แล้วมองไป เราเกิดมาในสภาคกรรม เราเกิดมาร่วมโลก คนดีก็มี คนที่เห็นแก่ตัวก็มี คนเบียดเบียนคนอื่นก็มี เรามองแล้วนะเราจะไม่เป็นอย่างนั้น

เราชื่นชมมาก เราอยู่กับหลวงตานะ หลวงตาท่านพูดเลย

“ใครจะทำชั่วอย่างไรให้ทำไป เราจะทำความดีว่ะ เราจะทำความดีของเรา”

นี่แล้วเวลาทำความดีขึ้นมา เห็นไหม คนนู้นก็จะตรวจสอบ คนนู้นก็จะเข้ามาขัดขวาง นี่มันเป็นอย่างนั้นแหละ เพราะคนชั่วเห็นคนทำความดีแล้วมันทนไม่ได้ อย่างเช่นเราไปวัดไปวา เขาว่า ไปทำไม? หามาเกือบเป็นเกือบตาย เงินทองเอาไปถวายทำไม?

นี่ไงเขาคิดของเขา แต่ถ้าเมื่อใดเขาเห็นผลนะน้ำตาตกใน น้ำตาตกในเพราะมันเสียใจตรงที่มันคิดตรงนั้นไง ทำไมเมื่อก่อนมันคิดอย่างนั้น? ถ้าเขาเปลี่ยนแปลงความคิดเขาได้ เขาจะรู้ใจของเขา ถ้าเขาเปลี่ยนความคิดของเขาไม่ได้ นี่ไงครูบาอาจารย์ของเราที่แก้ไข แก้จิตๆ แก้จิตตรงนี้แหละ แก้ตรงความรู้สึกนึกคิดนี่แหละ เปลี่ยนแปลงความรู้สึกนึกคิดเขา เปลี่ยนแปลงทิฐิมานะ ทิฐิมานะในใจนี่เปลี่ยนแปลง แล้วเปลี่ยนแปลงใครจะเปลี่ยนแปลงล่ะ?

ฉะนั้น เวลาเราโดนครูบาอาจารย์เปลี่ยนแปลงแล้วเราจะซึ้งมาก นี่จะซึ้งครูบาอาจารย์ เห็นไหม ลงใจ พ่อแม่ครูจารย์นะ เราอยู่บ้านมีพ่อมีแม่ เวลาไปอยู่กับครูบาอาจารย์ของเรานะ เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นครู เป็นอาจารย์ของเรา เพราะให้ความดูแลรับผิดชอบทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าจิตใจเราพัฒนาขึ้นมามันจะเป็นประโยชน์

นี่เราดูโลกมันวิกฤติ ถึงคราววิกฤติมันก็มีของมัน ถึงคราวเวลามันสุขสงบร่มเย็นมันก็มีของมัน เห็นไหม นี่ไงเราถึงว่าไม่ไปนอนใจกับสิ่งนี้ นี่โลกนอก-โลกในนะ โลกทัศน์ ความรู้สึกนึกคิดก็โลกหนึ่ง ชีวิตเราก็โลกหนึ่ง เราจะพาชีวิตนี้ไปอย่างใด? ชีวิตเรานี่จะพาไปอย่างใด? ถ้าพาไปแล้วนะ ประสบความสำเร็จทางโลกก็เรื่องหนึ่ง ประสบความสำเร็จทางธรรมก็เรื่องหนึ่ง เราจะแสวงหาของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง